แปลความหมายตรงตัวคือ
“การตลาดออนไลน์”
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีคำว่าการตลาดไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตามมันก็คือรูปแบบของการบริหารงานเพื่อจุดประสงค์ทางด้านธุรกิจ
ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าฟังประโยคข้างต้นรู้สึกเข้าถึงยากไป ให้เข้าใจง่ายๆ ก็อย่างเช่น เราจะทำการตลาดนั้นๆ ไปเพื่ออะไร
ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก เพิ่มยอดขาย เพิ่มฐานลูกค้า
เก็บข้อมูลธุรกิฯลฯ
ซึ่งวัตถุประสงค์เหล่านี้เราจำเป็นต้องกำหนดตั้งแต่ก่อนเริ่มทำการตลาดในทุกรูปแบบ
ดังนั้นคำว่า Online Marketing ก็คือการตลาดที่ถูกทำบนสื่อออนไลน์ในระบบอินเทอร์เน็ตทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย แอปพลิเคชัน ฯลฯ
การทำการตลาดแบบ Offline คือทำทุกอย่างที่ไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ (นิตยสาร หนังสือพิมพ์ โบว์ชัวร์ โปสเตอร์ บิลบอร์ด ฯลฯ)
ส่วน Online Marketing คือการทำการตลาดบนสื่อที่เราสามารถรับรู้ได้จากทางหน้าจอต่างๆ ยกเว้น ทีวี เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต เป็นต้น
นั่นจึงหมายความว่า รูปแบบในการทำการตลาดของทั้งสองอย่างนี้จริงๆ แล้ววิธีการหรือกระบวนการนั้นเหมือนกัน ต่างกันที่แพลตฟอร์มหรือพื้นที่ที่สื่อต่างๆ ที่เราทำนั้นจะไปแสดงเสียมากกว่า (จริงๆ อาจจะมีบางขั้นตอนหรือกระบวนการบางอย่างที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่ใจความสำคัญนั้นเหมือนกัน)
แทบจะทุกคนในทุกวันนี้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการตลาดออฟไลน์นั้นตายไปแล้ว ถ้าไม่ทำการตลาดออนไลน์ก็อยู่ไม่ได้ ซึ่งความคิดเหล่านี้มีทั้งจริงและไม่จริง ที่ว่าจริงคือหากทุกวันนี้ธุรกิจของคุณไม่ขยับเข้ามาสู่โลกออนไลน์โอกาสรอดนั้นน้อยมาก
แต่สิ่งที่ไม่จริงคือการตลาดออฟไลน์ยังไม่ได้ตายซะทีเดียว (แต่ในอนาคตก็ไม่แน่) เพราะตราบใดที่ธุรกิจของคุณมีหน้าร้าน มีสถานที่หรือเป็นธุรกิจที่ลูกค้าต้องเป็นฝ่ายเข้าหา เช่น ร้านอาหาร ที่พักโรงแรม ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ การทำการตลาดแบบออฟไลน์ควบคู่กับ Online Marketing ก็ยังได้ผลมากกว่าการทำเพียงออนไลน์อย่างเดียว
สิ่งที่จะมาบ่งชี้ได้ว่าธุรกิจของคุณควรหรือไม่ควรทำการตลาดออนไลน์นั้นจึงเป็น “จุดประสงค์” ของคุณมากกว่าว่าต้องการดำเนินธุรกิจไปในทิศทางใด มีเป้าหมายไว้อย่างไรเพราะหากคุณคาดหวังกลุ่มลูกค้าที่พฤติกรรมส่วนใหญ่ของพวกเขาอยู่บนโลกออนไลน์ล่ะก็ คุณก็ควรจะเริ่มทำการตลาดออนไลน์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่จะโดนคู่แข่งแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดไปซะหมด
การตลาดไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็แล้วแต่ควรเริ่มจากการวางแผนอย่างรัดกุม มีทั้งแผนระยะสั้น ระยะยาวและแผนสำรองกรณีที่เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด
Online Marketing ก็เช่นกัน สิ่งที่คุณควรวางไว้ตั้งแต่แรกจะมีในแง่ของเรื่องการสร้างแบรนด์ (Branding) แบรนด์จะเป็นยังไง ขายใคร มีบุคลิกอย่างไร (Brand Persona) จะใช้แพลตฟอร์มไหนในการขับเคลื่อนธุรกิจ
เมื่อมีสิ่งเหล่านี้เพียบพร้อมแล้วส่วนสำคัญสุดท้ายที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือ “งบประมาณและบุคลากร” เพราะความจริงที่เจ้าของธุรกิจต้องยอมรับให้ได้นั่นก็คือ การทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันนั้นมีต้นทุนที่สูงมาก ทั้งในแง่ของการจัดการและค่าจ้างทีมงานเข้ามาดูแล (เกือบจะเท่าๆ การตลาดยุคเก่าแล้ว)
เพราะด้วยความที่การตลาดออนไลน์เป็นสิ่งที่ต้องใช้บุคลากรที่มีทักษะความสามารถเฉพาะทาง นั่นจึงทำให้คนสายงานออนไลน์ส่วนมากจึงมีค่าตัวที่สูง ดังนั้นอย่าลืมที่จะจัดสรรงบประมาณส่วนนี้ให้รัดกุม เพราะหากมีปัญหาตรงนี้เมื่อไหร่ก็อาจทำให้พังทั้งระบบได้
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก #เบียรไอที
https://www.wismarketing.co.th/
ติดตามเนื้อหาวีดีโอดีดี ได้เพียง คลิค